การใช้ STEM CELL ในการรักษาโรค
เซลล์ต้นกำเนิด
(Stem
Cell)
คุณสมบัติพิเศษในการแบ่งตัวให้เป็นเซลล์ของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆในร่างกายได้
โดยยังคงมีความสามารถในการแบ่งตัวเองให้เป็นเซลล์ต้นกำเนิดเหมือนเดิมและสามารถพัฒนาเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จำเพาะได้
พบได้ในสายสะดือ เลือด และไขกระดูก
เป็นที่ทราบในทางการแพทย์ว่ามีความสำคัญต่อการสร้างระบบเลือด
รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งในผู้ใหญ่จะเป็นสเต็มเซลล์จากไขกระดูกที่มีหน้าที่สร้าง
เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเซลล์ที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันได้มีนักวิจัยมากมายที่สนใจการในนำสเต็มเซลล์มาใช้ในการรักษาโรค
เช่น ธาลัสซีเมีย ลิวคิเมีย อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน อัมพาตไขสันหลัง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เบาหวาน ให้หายขาดได้
แหล่งที่มาของสเต็มเซลล์ แบ่งได้ เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ
คือ
1. เซลล์ต้นกำเนิดในตัวอ่อน (Embryonic
stem cell) ได้แก่ เซลล์ที่มาจากการผสมระหว่างอสุจิของเพศชายและไข่ของเพศหญิงจนเกิดเป็นตัวอ่อน
(embryo) ไม่นิยมใช้แพร่หลายเนื่องจากปัญหาทางจริยธรรม ส่วนเซลล์ต้นกำเนิดในตัวเต็มวัย
ได้มาจากไขกระดูก กล้ามเนื้อ หรือจากเลือด ยังมีความสามารถที่จะเจริญต่อไปเป็นเซลล์อื่นได้ตามอวัยวะที่เซลล์นี้ไปอยู่
และเป็นเซลล์ที่ยอมรับว่าไม่ผิดจริยธรรมและมีการศึกษานำไปใช้อย่างแพร่หลาย
โรคที่สเต็มเซลล์มีศักยภาพที่จะรักษาได้คือ โรคระบบประสาท เช่น โรคสมองตาย
อัลไซเมอร์ กลุ่มโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย ได้แก่ โรคหัวใจ เช่น
กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย โรคเบาหวาน มะเร็ง โรคทางโลหิตวิทยา เช่น ธาลัสซีเมีย
มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคกระดูกและกระดูกอ่อน โรคตับแข็ง แผลเรื้อรัง
2. เซลล์ต้นกำเนิดในตัวเต็มวัย (Adult stem cell) ปัจจุบันถือว่าเป็นวิทยาการใหม่ทาง เพราะการใช้ประโยชน์จากสเต็มเซลล์เป็นความหวังที่จะนำไปรักษาโรคร้ายแรง
ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม การใช้สเต็มเซลล์มารักษาโรคต่างๆ
ภายในประเทศไทย ยังอยู่ในขั้นตอนของการทำวิจัยและพัฒนา ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนของวิธีปฏิบัติที่ใช้ในการรักษาโรค
ดังนั้น การประเมินการรักษาในขณะนี้จึงยังไม่สามารถยืนยันว่าจะสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่มีปัญหาได้จริง
แต่หากป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ วิธีที่ใช้รักษาอยู่ไม่ได้ผลดี การใช้เซลล์ต้นกำเนิดบำบัดอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่านำมาพิจารณา
การนำไปรักษาโรค
1.
โรคมะเร็ง ใช้ในการรักษาที่เรียกว่า การปลูกถ่ายไขกระดูก
เมื่อพบว่ามีเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนมากอยู่ในร่างกาย
แพทย์จะให้ยาเคมีบำบัดในปริมาณสูง เพื่อไม่ให้เซลล์มะเร็งสร้างตัวต่อไปได้
จากนั้นจึงนำเซลล์ต้นกำเนิดที่ปราศจากเซลล์มะเร็งใส่เข้าไปในตัวผู้ป่วยแทน
แล้วเซลล์ใหม่ที่เข้าไปก็จะเจริญเติบโตขึ้น
ช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตจากมะเร็งและรอดพ้นจากการเสียชีวิตด้วยการให้ยาเคมีบำบัดได้
2.
โรคเบาหวาน มีการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เพื่อไปซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลาย
3.
โรคภาวะหัวใจวายและโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด สเต็มเซลล์จะถูกนำไปปลูกถ่ายโดยการฉีดเข้าสู่หัวใจของผู้ป่วยในบริเวณที่มีการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ เพื่อสร้างหลอดเลือดใหม่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งพบว่าสามารถช่วยเสริมสร้างการก่อตัวของหลอดเลือดใหม่ภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่มีการอุดตันของหลอดเลือดและบรรเทาอาการของโรคที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ซึ่งได้แก่อาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผลการรักษาอยู่ในเกณฑ์ที่มีความปลอดภัยสูงและได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ
4.
โรคพาร์กินสัน ศาสตราจารย์
Alan Mackay-Sim หน่วยงานวิจัยด้าน
stem cell มหาวิทยาลัย Griffith ว่า สามารถใช้ Adult Stem Cell ซึ่งนำมาจากเซลล์จากจมูกของคนในการรักษาโรคพาร์กินสันได้
ผลการวิจัยเมื่อได้ทดลองปลูกถ่าย
Adult Stem Cell ไประยะหนึ่งก็พบว่า
เซลล์เหล่านี้ยังคงทำงานได้อย่างปกติ และมีประสิทธิภาพ
ซึ่งเป็นการค้นพบที่มีค่าและประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับวงการแพทย์
ในการรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน
5.
โรคธาลัสซีเมีย
มีการปลูกถ่ายเลือดจากสายสะดือเพื่อรักษาโรคธาลัสซีเมีย
สำเร็จเป็นรรายแรกของโลก ในปี พ.ศ.2538
นพ.พีรพล
อิสรไกรศีล และคณะที่โรงพยาบาลศิริราช โดยใช้เลือดจากสายสะดือของน้องที่เข้ากันได้ (HLA-identical)
Stem
Cell เป็นสิ่งที่มีศักยภาพสูงสำหรับอนาคตข้างหน้า อาจมีประโยชน์มหาศาลในการนำมาใช้รักษาโรคต่างๆ
ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันยังนับว่าน้อยมากและยังอยู่ในขั้นทดลองในห้องปฏิบัติการหรือในสัตว์ทดลอง การจะนำมาใช้ในมนุษย์ได้จริงต้องผ่านกระบวนการศึกษาอย่างรอบคอบเป็นระยะเวลายาวนานเพื่อที่จะได้ทราบถึงผลดี ผลเสีย และศึกษากลไกต่างๆ ในการทำงานของ Stem
Cell ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อนจึงจะนำมารักษาในมนุษย์ได้อย่างเต็มรูปแบบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น