การฉายรังสีเพื่อรักษามะเร็ง
การใช้รังสีทางการแพทย์ดำเนินมาไม่ต่ำกว่า 100 ปี
ทั้งในด้านการวินิจฉัยโรคและรักษาโรค โดยเริ่มจากการใช้เครื่องมือและวิธีการง่ายๆ
จนปัจจุบันมีการใช้เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น เป็นที่ยอมรับว่ารังสีมีประโยชน์มหาศาล
โดยเฉพาะในด้านการรักษาโรคมะเร็ง การรักษาโรคมะเร็งด้วยรังสี เทคนิคการรักษาที่สลับซับซ้อนด้วยเครื่องมือที่มีความก้าวหน้า
ทำให้มีความถูกต้องแม่นยำมีประสิทธิภาพ ผลข้างเคียงเกิดขึ้นน้อยลง การใช้รังสีอย่างพอเหมาะช่วยผู้ป่วยนับล้าน
ๆ คนให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นในแต่ละปีในบางกรณีมีการใช้รังสีเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดลง
ผู้ป่วยไม่ต้องทนทุกทรมาน
ความเสี่ยงในการฉายรังสี
ในการวินิจฉัยโรคนั้นจะใช้รังสีในปริมาณที่น้อยกว่าใช้ในการรักษาโรค
โดยนักฉายรังสีจะต้องมีความรู้และประสบการณ์ที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากรังสีได้สูงสุดในปริมาณที่น้อยที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงลง
อย่างไรก็ตามข้อมูลสถิติทางการแพทย์ แสดงว่าความเสี่ยงจากรังสีที่ทำให้เกิดการตายเนื่องจากโรคมะเร็งมีประมาณ
1 ใน 2,000 คน หรือ 0.05% ในขณะที่ความเสี่ยงจากปัจจัยอื่นมีถึง 1 ใน 4
หรือ 25%
ชนิดของรังสีที่ใช้ทางการแพทย์
Ø รังสีเอกซ์ เป็นรังสีที่มนุษย์ทำขึ้น รังสีเอกซ์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพวกเดียวกับคลื่นแสง
แต่มีความถี่สูงจึงมีพลังงานสูงสามารถทะลุผ่านวัตถุต่างๆ ได้ รังสีเอกซ์พลังงานช่วงกิโลอิเล็กตรอนโวลท์ใช้ในการวินิจฉัยโรค
รังสีเอกซ์ขนาดพลังงานสูงในช่วงล้านอิเล็กตรอนโวลท์ ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งที่อยู่ลึกเข้าไปจากผิว
Ø รังสีแกมมา เกิดจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี
รังสีแกมมาเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกับรังสีเอกซ์
สารกัมมันตรังสีที่นำมาใช้อาจอยู่ในรูปของแข็ง เช่น โคบอลต์-60 ซีเซี่ยม-137 ใช้รักษาโรคโดยการฉายรังสีและใส่แร่
ส่วนสารกัมมันตรังสีที่อยู่ในรูปของเหลวใช้ในงานของเวชศาสตร์นิวเคลียร์
Ø รังสีเบต้า
เกิดจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี ซึ่งอาจอยู่ในรูปของแข็ง เช่น สตรอนเชียม-90 รักษาโรคตา
หรืออยู่ในรูปของเหลวใช้ในการรักษาและวินิจฉัยโรค
Ø ลำอิเล็กตรอน
ได้จากเครื่องเร่งอนุภาค เช่นเดียวกับรังสีเอกซ์พลังงานสูง
ใช้รักษามะเร็งที่อยู่ใกล้พื้นผิว
หลักการฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
การนำรังสีมาใช้รักษาและบำบัดโรคมะเร็งเรียกง่ายๆ
ว่าการฉายรังสี หรือการฉายแสง
ซึ่งรังสีที่ใช้รักษานี้มีพลังงานสูงทำให้มีอำนาจในการทะลุทะลวงเข้าไปในเนื้อเยื่อของร่างกายมนุษย์ได้ดี
แหล่งกำเนิดรังสีมี 2
ประเภท คือ แหล่งกำเนิดรังสีที่มนุษย์ผลิตขึ้น เช่น
เครื่องเร่งอนุภาคซึ่งให้รังสีเอกซ์ และแหล่งกำเนิดรังสีจากธรรมชาติ
เช่น สารกัมมันตรังสี ซึ่งให้รังสีแกมมา รังสีที่ได้จากแหล่งกำเนิดข้างต้น สามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง
โดยมีหลักการคือรังสีจะฆ่าเซลล์ที่เติบโตเร็ว ดังนั้นเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวเร็วจึงถูกทำลายได้ง่าย
และเซลล์ปกติในร่างกายมนุษย์ซึ่งแบ่งตัวเร็ว เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อบุลำไส้
ก็มีโอกาสถูกทำลายด้วย แต่เซลล์ปกติของมนุษย์มีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ดีกว่าเซลล์มะเร็งจึง
สามารถกลับสู่สภาวะปกติได้ดีหลังจากได้รับรังสี นอกจากนี้แพทย์ทางรังสีรักษามีเครื่องมือและวิธีการเพื่อทำให้ลำรังสีเข้าถึงบริเวณที่เป็นก้อนมะเร็งได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ขั้นตอนการฉายรังสี
การฉายรังสี โดยเครื่องฉายรังสีซึ่งมีหลายประเภท เป็นเครื่องคล้ายเครื่องตรวจทางเอ็กซเรย์
แต่มีขนาดใหญ่กว่า
การรักษา โดยผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง มีหัวเครื่องฉายอยู่ด้านบน
ห่างจากตัวผู้ป่วย ประมาณ 60-70 ซม.
หัวเครื่องฉาย ถ้าปิดเครื่องจะไม่มีรังสีออกมา หัวเครื่องฉายจะหมุนได้รอบตัวผู้ป่วย
สามารถฉายรังสีให้กับผู้ป่วยได้ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง โดยผู้ป่วยไม่ต้องขยับตัวเปลี่ยนท่านอนระหว่างได้รับการฉายรังสี
การควบคุมเครื่องฉายรังสี การจัดท่าผู้ป่วย
และการให้การรักษาด้วยการฉายรังสี อยู่ในการควบคุมดูแลโดยนักรังสีเทคนิค/นักรังสีการแพทย์
ซึ่งได้รับการเรียน การสอน การอบรม ฝึกงานด้านการฉายรังสี ซึ่งจะจัดท่าผู้ป่วย เทคนิค ปริมาณรังสี
ตรงกับในการวางแผนจากเครื่องจำลองภาพ และจากนักฟิสิกส์การแพทย์
โดยทั่วไป จะฉายรังสี วันละ 1 ครั้ง
5 ครั้งต่อสัปดาห์ หยุดพัก 2 วัน แล้วเริ่มต้นใหม่
เวียนไปจนครบได้ปริมาณรังสีตามแพทย์กำหนด แต่ตารางการฉายรังสีอาจเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นกับแพทย์กำหนด
การฉายรังสีมักให้การรักษาผู้ป่วยเป็นผู้ป่วยนอก เมื่อฉายรังสีเสร็จ ผู้ป่วยกลับบ้านได้
ทำงานต่อได้ และกลับมารับการรักษาใหม่ในวันรุ่งขึ้น หรือตามตารางการรักษาที่แพทย์กำหนด
นอกจากการรักษาด้วยรังสีแบบระยะไกล โดยใช้เครื่องฉายรังสีแล้ว
การใส่แร่หรือการรักษาด้วยรังสีแบบระยะใกล้ (Brachytherapy) ยังเป็น อีกรูปแบบหนึ่งของการใช้รังสี เพื่อรักษาโรคมะเร็งโดยแพทย์จะนำสารกัมมันตรังสีซึ่งอยู่ในรูปแบบเม็ดหรือแท่งขนาดเล็กให้เข้าไปอยู่ชิดบริเวณที่เป็นมะเร็งให้มากที่สุด
การใส่แร่นี้สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่ การวางแร่ในเข็มซึ่งแทงเข้าไปในก้อนมะเร็ง
หรือการวางแร่ ในก้อนมะเร็งโดยตรง (Interstitial
Implantation) การวางแร่ในเครื่องมือสอดใส่แร่ของมะเร็งปากมดลูก (Intracavitary
Brachytherapy)และการวางแร่ลงในสายพลาสติก
เพื่อรักษาอวัยวะที่เป็นรูกลวง (Intraluminal Brachytherapy) เช่น มะเร็งหลอดอาหาร
โดยปกติแล้วการรักษาด้วยรังสีแบบระยะไกลด้วยเครื่องฉายรังสี
และการใส่แร่ หรือการรักษาด้วยรังสีแบบระยะใกล้
ไม่ทำให้ผู้ป่วยมีรังสีตกค้างอยู่ในตัว สามารถทำกิจวัตรต่าง ๆ อยู่ใกล้คนใกล้ชิดได้เหมือนคนปกติผู้ป่วยซึ่งอยู่ในช่วงที่ใช้รังสีรักษา
จะได้รับคำแนะนำและการดูแลอย่างใกล้ชิด จากแพทย์ พยาบาล นักฟิสิกส์การแพทย์ เจ้าหน้าที่รังสีการแพทย์
ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางการแพทย์มากขึ้น
จึงมีการนำเครื่องมือสมัยใหม่ซึ่งมีความแม่นยำปลอดภัยมาใช้ในทางรังสีรักษา ได้แก่ การผ่าตัดโดยใช้รังสี
เช่น แกมมาไนฟ์ (Gamma Knife) การฉายรังสี 3 มิติ (3 Dimension Radiation Therapy) และการฉายรังสีปรับความเข้ม (Intensity-
modulated radiation therapy) ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ใกล้อวัยวะสำคัญ
ตัวอย่างเครื่องฉายรังสี
เครื่องฉายรังสีปรับความเข้ม 1,000 องศา (Volumetric
Modulated Arc Radiotherapy)
เครื่องฉายรังสีปรับความเข้ม 1,000 องศา
แบบ RapidArc จากบริษัท Varian (ประเทศสหรัฐอเมริกา)
เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในการฉายรังสี ซึ่งเป็นเครื่องแรกในประเทศไทย
ซึ่งสามารถทำให้ปริมาณรังสีครอบคลุมก้อนมะเร็ง พร้อมทั้งลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉายรังสีได้ดียิ่งขึ้น
และสามารถลดระยะเวลาในการฉายรังสีในแต่ละครั้งได้เร็วกว่าเทคนิคการฉายแบบปรับความเข้มได้
10 เท่า ซึ่งการฉายรังสีแบบ RapidArc
นี้ เครื่องฉายรังสีจะหมุนรอบตัวผู้ป่วยซึ่งเครื่องสามารถปรับความเร็วของการหมุนและปรับเปลี่ยนเครื่องกำบังรังสีให้ครอบคลุมเฉพาะก้อนมะเร็งได้ในขณะฉายรังสี
โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกกำหนดโดยเครื่องคอมพิวเตอร์วางแผนการรักษาซึ่งมีประสิทธิภาพสูง
เนื่องจากนวัตกรรมทางการแพทย์
ที่โรงพยาบาลกรุงเทพวัฒโนสถ นำมาใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งปอด มะเร็งที่ศีรษะและลำคอ
รวมทั้งมะเร็งต่อมลูกหมาก อย่าง 'วีแมท' (VMAT : Volumetric
Modulated Arc Therapy) เทคโนโลยีใหม่ของการฉายรังสีในผู้ป่วยโรคมะเร็ง
การฉายรังสีด้วยเทคโนโลยี “วีแมท” เครื่องสามารถหมุนทำงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยรูปลักษณ์ของลำรังสีจะปรับเปลี่ยนตามรูปร่าง
และทิศทางตามลักษณะของก้อนมะเร็ง ซึ่งเครื่องวีแมทจะทำงานร่วมกับระบบคอมพิวเตอร์
เพื่อการวางแผนการรักษา (Computer Treatment Planning) ส่งผลให้ปริมาณและขอบเขตของรังสีมีความพอดีกับเนื้อเยื่อมะเร็ง
ทำให้ผลการรักษามีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ระยะเวลาในการฉายรังสีแต่ละครั้งก็สั้นลง
หากเปรียบเทียบกับเทคนิคการฉายรังสีแบบปรับความเข้ม (IMRT) ที่กินเวลา 15-30 นาที แล้ว วีแมท
ใช้เวลาฉายรังสีให้เสร็จสิ้นภายใน 3-5 นาทีดังนั้น วีแมท สามารถลดความผิดพลาดอันอาจเกิดจากการขยับตัวของผู้ป่วย
ทั้งยังมีการใช้ระบบภาพนำวิถีแบบ 3 มิติ เข้ามาช่วยในการตรวจสอบตำแหน่งของก้อนมะเร็งก่อนการฉายรังสี
ทำให้การรักษามีความถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น ผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ที่เนื้อเยื่อดีถูกทำลายก็ลดน้อยลง
ส่วนอุปกรณ์ที่ต้องใช้ควบคู่และมีคุณสมบัติพิเศษอีกชิ้นหนึ่งคือ เตียงปรับระดับแบบ
6 มิติที่ถูกควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถปรับองศาในการนอนของผู้ป่วยให้ตรงจุดที่ถูกฉายรังสี
มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ผลข้างเคียงการรักษาด้วยการฉายรังสี
ผลข้างเคียงของการรับการรักษาด้วยรังสี
อาจทำให้เกิดความไม่สบายตัว แต่มักจะบรรเทาอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับการรักษาครบ แพทย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้ดูแลตลอดการฉายรังสีจนกว่าจะครบการรักษาโดยปกติผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยแต่ละคนจะแตกต่างกัน
ตามตำแหน่งที่ได้รับรังสี ปริมาณรังสีและสภาพร่างกายของผู้ป่วยก่อนหน้าที่จะได้รับรังสี
ผลข้างเคียงซึ่งพบบ่อยคือ อ่อนเพลีย ผิวหนังคล้ำบริเวณที่ถูกรังสี
ความอยากอาหารลดลง ขนหรือผมบริเวณที่ถูกรังสีบางลง ซึ่งผลข้างเคียงนี้มักไม่รุนแรงและผู้ป่วยยังสามารถทำงานหรือกิจวัตรได้เช่นเดียวกับก่อนฉายรังสี
สรุป
การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันแพทย์ทางมะเร็งวิทยาจะใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน
คือให้การผ่าตัดและฉายรังสีเป็นการรักษาเฉพาะที่และใช้การรักษาเสริม คือ การให้ยาเคมีบำบัดหรือยาต้านเซลล์มะเร็งฉีดหรือกิน
เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจกระจายอยู่ในอวัยวะอื่นๆ
โดยสุรปหลักการทางรังสีรักษา คือ ฆ่าเซลล์มะเร็งให้ได้มากที่สุด
โดยไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อปกติ ปัจจุบันมีมะเร็งหลายชนิด ซึ่งสามารถรักษาหายได้ด้วยรังสีรักษา
เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งผิวหนังรังสีรักษามีผลต่อมะเร็งเฉพาะบริเวณที่ฉายเท่านั้น
ซึ่งเปรียบเสมือนการผ่าตัด ซึ่งตัดเฉพาะส่วนที่ไม่ดีออก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการฉายรังสีและการผ่าตัดเป็นการรักษาเฉพาะที่
และไม่ก่อให้เกิดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
นอกจากรังสีจะใช้รักษาก้อนมะเร็งแล้ว ยังมีการใช้รังสีเพื่อบรรเทาอาการปวด
จากมะเร็งระยะลุกลาม เช่น การปวดกระดูกการปวดศีรษะจากมะเร็งลุกลามไปที่สมอง (Brain Metastasis) การใช้รังสีเพื่อช่วยในการปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone
Marrow-Transplantation) การใช้รังสีเพื่อป้องกันการลุกลามของมะเร็งมาที่สมอง
(CNS Prophylaxis) และการรักษาโรคอื่น นอกจากโรคมะเร็ง เช่น
การป้องกันเส้นเลือดอุดตันซ้ำหลังผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจ (Restenosis
Prophylaxis) การป้องกันการเกิดแผลเป็นหลังผ่าตัด (Keloid
Prophylaxis) เป็นต้น
แหล่งข้อมูล
http://www.chulacancer.net/newpage/question/radiation-dangerous.html
http://www.chulacancer.net/newpage/RapidArc.html
http://www.suriyothai.ac.th/node/3426
http://www.npa-account.com/news/view.php?id=1306
http://thastro.org/pages/xrt/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น