วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

ปัญหาสังคม


ปัญหาสังคม

           
เมื่อคนหลายคนมาอยู่รวมกันจนเกิดเป็นสังคม ทุกสังคมมักจะต้องมีปัญหาสังคมเกิดขึ้น อาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อย หรือเป็นปัญหาใหญ่ที่รุนแรง ซึ่งล้วนแต่รอการแก้ไขจากคนในสังคมทั้งนั้น เมื่อเกิดปัญหาสังคมขึ้นในสังคมนั้นๆ ก็จะทำให้คนในสังคมอยู่อย่างไม่สงบ มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ซึ่งก็จะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา และชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม และอาจจะลุกลายใหญ่โต จนกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้  ดังนั้นสังคมจึงต้องมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ เพื่อควบคุมให้คนสังคมอยู่อย่างสงบสุข ลดปัญหาลง แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาสังคมได้ทุกเรื่อง เพราะบางเรื่องก็ไม่มีกฎหมายมาควบคุม หรือบางเรื่องก็เกิดมายาวนานจนยากที่จะแก้ไขได้ ดังนั้น การศึกษาปัญหาสังคมจึงมีความสำคัญมาก ที่จะหาสาเหตุ หรือสิ่งที่สนับสนุนให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างถาวร
ปัญหาสังคม คือ สถานการณ์อย่างหนึ่งที่คนในสังคมหนึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่คุกคามต่อค่านิยมของเขา หรือสร้างความเดือดร้อนให้เขา จึงมีการตกลงร่วมใจกันที่จะแก้ไขหรือกำจัดสถานการณ์นั้นให้หมดไปได้
ปัญหาสังคมมีมากมายหลายอย่าง แต่ปัญหาใหญ่ๆก็มี เช่น ปัญหาทางการเมือง เช่น ปัญหาคอร์รัปชั่นของนักการเมือง หรือบุคคลในข้าราชการ ต่างๆ สาเหตุมักเกิดจาก ความโลภ ความอยากได้อยากมี การขาดความซื่อสัตย์ของบุคคลนั้นๆ หรือ เพราะสังคมขาดกฎระเบียบ กฎหมายละหลวม ไม่เคร่งครัด ทำให้ เขาขาดความเกรงกลัว และใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ หรืออาจเป็นเพราะค่านิยมในสังคม ที่มักยกย่องคนที่มีอำนาจเกินควร ทำให้บุคคลนั้นหลงไปกับชื่อเสียงกับความสุขทางวัตถุมากกว่าคำนึงถึงคุณธรรมและความถูกต้อง การคอร์รัปชั่นส่วนใหญ่มักส่งผลกระทบต่อตัวบุคคลเองและสังคม เช่น การทำให้สังคมพัฒนาล่าช้า ทำลายความมั่นคงในประเทศ ทำให้ผู้อื่นหรือประเทศเสียผลประโยชน์ นอกจากนั้นยังทำลายชื่อเสียงและเกียรติยศของผู้กระทำเอง ทำให้เสื่อมเสียไปถึงครอบครัว และวงศ์ตระกูล แต่การคอร์รัปชั่นนั้นก็มีข้อดีบ้างคือ กระตุ้นให้คนที่มีอำนาจคิดหาช่องทางที่จะทำโครงการต่างๆ เช่น การสร้างถนนใหม่ การขยายอาคาร หรือสำนักงาน เพื่อที่ตนเองจะเบียดบังเอาประโยชน์ หรือ กระตุ้นให้ผู้เสียผลประโยชน์มีความระมัดระวังรักษาสิทธิและโอกาสของตนเองมากขึ้น เป็นต้น ส่วนแนวทางการแก้ไขอาจทำได้หลายด้าน เช่น การจัดอบรมข้าราชการ หรือนักการเมืองที่มีอำนาจให้เป็นคนมีคุณธรรม ดังคำที่ว่า ความรู้ คู่คุณธรรม หรือเป็นคนเก่งควบคู่กับการเป็นคนดีด้วย หรือควรออกกฎหมายบังคับลงโทษผู้กระทำผิดอย่างรุนแรง เช่น จำคุกตลอดชีวิต หรือ ประหารชีวิต เพื่อจะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่นๆ ควรให้การศึกษาแก่ประชาชนให้มีความรู้ ความฉลาด ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้มีอำนาจ และควรให้สวัสดิการและเงินเดือนแก่บุคคลในอำนาจให้เพียงพอกับฐานะและหน้าที่ เพื่อไม่ให้มีเหตุผลที่จะต้องคอร์รัปชั่น หรือควรให้ระบบหมุนเวียนเปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่งอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้บุคคลนั้นมีอำนาจมากเกินไป  ประเด็นในเรื่องปัญหาด้านการเมืองไม่ใช่มีเพียงแค่การคอร์รัปชั่นเท่านั้น แต่ยังมีอีกมากมายที่ควรจะได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือแก่ประชาชน และคนในสังคม และทำให้เกิดการพัฒนาสังคมได้อย่างที่ควรจะเป็น
ปัญหาความยากจน เป็นอีกปัญหาที่คุกคามคุณภาพชีวิตของคนในสังคมมากและเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะกับประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ซึ่งมักจะมีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ โดยวัดจากค่าครองชีพของคนในสังคม สาเหตุของความยากจนนั้น มีสาเหตุใหญ่ๆ คือ ความผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจ เช่น ร่างกายพิการ ชราภาพ เป็นโรคจิต ป่วยเรื้อรัง ไม่สามารถที่จะทำงานหรือทำมาหากินลี้ยงชีพตนเองได้, การเสียระเบียบในสังคม เช่น ครอบครัวแตกแยก การว่างงาน การเกิดโรคระบาด หรือการเพิ่มจำนวนของประชากรอย่างรวดเร็วจนทรัพยากรไม่มีเพียงพอ เป็นต้น ความยากจนเป็นบ่อเกิดของปัญหาสังคมอีกมากมาย ก่อผลกระทบต่อทั้งบุคคลและสังคม เช่น ทำให้เกิดปัญหาด้านการศึกษา เด็กและเยาวชนขาดการศึกษา หรือ เกิดปัญหาชนชั้นระหว่างคนจนกับคนรวย ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมเนื่องจากการไม่พออยู่พอกิน ทำให้ประเทศต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการแก้ปัญหาความยากจน จนทำให้การพัฒนาประเทศมีความล่าช้า การจัดการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้น มีหลายวิธี  เช่น ด้านร่างกายและจิตใจ  ทางรัฐบาลควรดูแลใส่ใจประชาชน ให้สวัสดิการเกี่ยวกับด้านอาหารการกิน ไม่ให้อดอยาก ส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับรักษาสุขภาพอนามัย มีหน่วยบริการสุขภาพหรือสถานพยาบาลอย่างทั่วถึง และไม่ราคาสูงมากเกินไป ปลูกฝังทัศนคติ ค่านิยม ให้คนในสังคมรู้จักพอเพียง ขยัน อดทน  ด้านการจัดระเบียบสังคม จะต้องมีการจัดระเบียบภายในสังคมให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มอบหมายหน้าที่แก่บุคคลในสังคมให้ชัดเจน มีการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกในสังคม  เป็นต้น
ปัญหาความยากจนนั้น ยากที่จะแก้ไขได้ในเวลารวดเร็ว เพราะเป็นปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาอื่นมากมาย และเกิดขึ้นเป็นปกติในทุกประเทศ ยากที่แก้ไขให้หมดไป ดังนั้นการแก้ไขจึงต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกๆฝ่ายด้วย
            ปัญหาอาชญากรรม เป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานของสังคม เป็นการกระทำที่คนในสังคมไม่ทำกัน เช่น การฉ้อโกง ปล้น จี้ ข่มขืน ฆ่าคน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญาที่ผู้กระทำจะต้องถูกลงโทษ ซึ่งมีโทษสถานเบาตั้งแต่ริบทรัพย์ไปจนถึงโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต เมื่อได้มีการพิสูจน์แล้วว่าได้กระทำผิดจริง
สาเหตุของการเกิดอาชญากรรมมีหลายข้อหลักๆ ดังนี้ ความบกพร่องทางร่างกายและจิตใจ เช่น รูปร่างหน้าตาไม่สมประกอบ ร่างกายพิกลพิการ เป็นต้น มักจะเป็นที่รังเกียจของสังคม ถูกดูถูกเหยียดหยาม ไม่ได้รับความสนใจ เป็นเป็นผลผลักดันให้เกิดอาชญากรรมได้ เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ ความเคียดแค้น หรือเป็นการเรียกร้องความสนใจจากสังคม  บางครั้งอาชญากรรมก็เกิดจากความบกพร่องทางด้านจิตใจ เช่น คนสติปัญญาไม่สมประกอบ มักจะมีนิสัยก้าวร้าวดุดัน โวยวาย มีอารมณ์รุนแรง เป็นต้น
การเสียระเบียบสังคม คือการที่สังคมขาดระเบียบ มีความวุ่นวานสับสนจนเกิดความเสื่อมโทรม ทำให้เกิดการก่ออาชญากรรมได้ง่าย
การแข่งขันกันในสังคม เกิดจากค่านิยมทางวัตถุ ทำให้คนในสังคมเกิดการแข่งขันกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ เพราะอยากจะเท่าเทียมกับผู้อื่น
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม คือ ปัจจัยเกี่ยวกับอายุ พบว่าผู้ที่ประกอบอาชญากรรมส่วนใหญ่เป็นผู้มีอายุน้อยมากกว่าผู้มีอายุมาก แต่ก็มีการเปลี่ยนไปตามประเภทของอาชญากรรมด้วย
ปัจจัยเกี่ยวกับเพศ พบว่าเพศชายมักจะก่ออาชญากรรมมากกว่าเพศหญิง แต่หากบทบาทของเพศหญิงเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ก็มักจะมีการก่ออาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นจนเท่าเทียมกับเพศชาย เพศหญิงมักก่ออาชญากรรม เช่น การค้าประเวณี ทำแท้ง ลักทรัพย์ เป็นต้น
ปัจจัยเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของผู้กระทำผิด มีส่วนทำให้เกิดอาชญากรรมเช่นเดียวกัน เพราเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูของครอบครัวและภาพแวดล้อม ซึ่งถ้าเขาเกิดในสังคมที่มีแต่ความรุนแรง ก็มีแนวโน้มที่จะก่ออาชญากรรมเพิ่มขึ้น
ปัจจัยเกี่ยวกับภูมิภาค ขนาดและที่ตั้งของชุมชนก็มีผลต่อการเกิดอาชญากรรม พบว่า ชุมชนเมืองหรือชุมชนขนาดใหญ่มักมีการเกิดอาชญากรรมมากกว่าชุมชนเล็กๆ
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ถ้าสังคมมีการพัฒนา มีเศรษฐกิจที่ดี คนในสังคมมีความเป็นอยู่ที่ดี ปัญหาอาชญากรรมก็ลดลง ตรงกันข้าม หากเป็นยุคข้าวยากหมากแพง เงินบาทลอยตัว จะเกิดปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น
ผลกระทบของปัญหาอาชญากรรมนั้นมีเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อทั้งบุคคลและสังคมเช่น เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่เด็กและเยาวชน หรือคนในสังคมที่ไม่ควรเอาอย่าง อาชญากรรมทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำได้รับความเสียหาย ทั้งทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง ร่างกายและจิตใจ อาจจะก่อให้เกิดปมด้อยขึ้น หรือเกิดความแค้นอาฆาต อาชญากรรมทำให้ผู้ที่กระทำนั้นมีจิตใจดุกร้าว โหดเหี้ยม และทำให้ติดเป็นนิสัย
            อาชญากรรมเป็นอุปสรรคในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการปราบปรามอาชญากรรม และเมื่อได้ไม่ปราบปรามหรือลงโทษผู้กระทำผิด จะทำให้คนในสังคมอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่เป็นสุข และทำให้คนดีเสียกำลังใจและไม่อยากทำดีต่อไป อาชญากรรมจึงเป็นปัญหาเร่งด่วนไม่แพ้ปัญหาความยากจนที่จะต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วไว แนวทางการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมนั้นก็มีหลายวิธีเช่น การให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชนอย่างเพียงพอและทั่วถึง เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถที่จะนำไปประกอบอาชีพอย่างสุจริต หาเลี้ยงชีพตนเองได้ และสามารถช่วยพัฒนาสังคม ลดการเกิดปัญหาอาชญากรรมได้ นอกจากนี้ ควรให้การศึกษาและอบรม ดูแลผู้ที่มีความบกพร่องทั้งทางร่างกายและจิตใจ ให้พวกเขาไม่เป็นภาระและเป็นที่รังเกียจของสังคม มีวิชาชีพให้พวกเขาทำ ให้พวกเขาได้เห็นคุณค่าของตนเอง และควรจัดอบรมให้ความรู้กับครอบครัว หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคลเหล่านี้ ให้มีความรู้จักและเข้าใจบุคคลประเภทนี้มากขึ้น ควรให้ความรัก ความเห็นใจ ระมัดระวังเอาใจใส่เป็นพิเศษ นอกจากนี้การเผยแพร่ข่าวอาชญากรรมที่รุนแรงทางสื่อมวลชน เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ควรอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ไม่เสนอรายละเอียดการประกอบอาชญากรรมมากเกินไป เพื่อไม่ให้ผู้อื่นมีโอกาสนำไปลอกเลียนแบบ และภาพข่าว ละคร หรือ ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหารุนแรงควรที่จะแบ่งแยกประเภทผู้ชม เด็กและเยาวชนไม่ควรได้รับชมเพื่อไม่ให้เป็นภาพติดตาม หรือเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ
นอกจากนี้ทางรัฐเองควรออกกฎหมายที่เคร่งครัด มีบทลงโทษที่รุนแรง มีผู้บังคับใช้กฎหมายที่เอาจริงเอาจัง เพื่อให้ผู้ที่คิดจะกระทำผิดเกิดความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่กล้ากระทำผิด ในส่วนของผู้ที่กระทำผิดแล้วกลับตัวเป็นคนดี สังคมควรให้โอกาสให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างไม่เป็นที่รังเกียจ หรือเป็นปมด้อยจนหมดกำลังใจ แต่ทางรัฐควรปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรมแก่เขา เช่น อาจจะให้ไปบำเพ็ญประโยชน์แก่สาธารณะ เป็นต้น
            ปัญหาสังคมประเด็นสำคัญที่กล่าวมานั้น เป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน และนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ปัญหาหลายอย่างมีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งถ้าไม่รีบแก้ไขก็อาจจะลุกลามเกิดเป็นปัญหาอื่นๆตามมาได้ ปัญหาสังคมไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือคนใดคนหนึ่งที่จะต้องแก้ไขเพียงคนเดียว ปัญหาสังคม คือปัญหาที่ทุกคนในสังคมควรเอาใจใส่และช่วยกันแก้ไข ไม่ใช่คิดว่าไม่เกี่ยวกับตนเองแล้วไม่สนใจ ควรให้ความร่วมมือ สอดส่องดูแลเสมือนสังคมเป็นบ้านหลังใหญ่ สถาบันต่างๆในสังคมเองก็ควรให้ความสำคัญกับปัญหาสังคม ไม่ใช่สนใจแต่เรื่องเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าเท่านั้น เพราะสังคมจะพัฒนาไปไม่ได้เลย ถ้าหากสังคมยังไม่สงบสุข มีปัญหามากมายทั้งด้านอาชญากรรม ความยากจน การศึกษา ฯลฯ โดยเฉาะสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นสถานบันพื้นฐานในสังคม ที่จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการเลี้ยงดู ดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ อบรมสั่งสอนอย่างดี ให้การศึกษาแก่สมาชิกในครอบครัวอย่างพอเพียง เพื่อที่ให้เขาออกไปสู่สังคมได้อย่างภาคภูมิใจ มีประสิทธิภาพ เป็นคนที่มีคุณธรรม จริยธรรม สามารถอยู่ในสังคมได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น และยังสามารถเป็นกำลังสำคัญในการที่จะพัฒนาสังคมและประเทศชาติต่อไป

ประสบการณ์การแข่งขันฮอกกี้ จามจุรีเกมส์ วันที่ 15 – 22 มกราคม 2554


ประสบการณ์การแข่งขันฮอกกี้ จามจุรีเกมส์  วันที่ 15 – 22 มกราคม 2554

ตำแหน่งการเล่น : แบ็คซ้าย

            การแข่งฮอกกี้นั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดขึ้นที่สนามฮอกกี้ของการกีฬาแห่งประเทศไทย ค่อนข้างไกลจากบริเวณที่แข่งขันกีฬาส่วนใหญ่ ทำให้ไม่ค่อยมีกองเชียร์ จะมีก็แต่นักฮอกกี้ด้วยกันเอง บรรยากาศจึงค่อนข้างเหงาพอสมควร
            พวกเราเริ่มเก็บตัวที่หอพักของการกีฬาแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม เพื่อเตรียมตัวแข่ง ถึงแม้ว่าสถานที่พักไม่ดีเท่ากับมหาวิทยาลัยอื่น แต่มีข้อดีคือ อยู่ติดกับสนามแข่ง ตอนเช้าและเย็นสามารถลงมาซ้อมได้ นอกจากนั้นยังสามารถดูการแข่งขันบนตึกได้ ซึ่งจะได้มุมที่ชัดเจนกว่าข้างสนามอีก
            พวกเรานักฮอกกี้ทีมหญิงของจุฬาฯมีแข่งวันแรกคือวันที่ 17 มกราคม ซึ่งตื่นเต้นมาก แต่นัดแรกเจอกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่มีผู้เล่นไม่ครบทีม เพราะมีแค่ 9 คนเท่านั้น แต่ทีมเขาก็สามารถเอาชนะมาได้ในนัดแรก ทำให้เราคิดว่าเขาไม่ได้เล่นไม่เป็นซะทีเดียว ความได้เปรียบตกอยู่ที่ฝั่งเราค่อนข้างมาก นัดแรกแม้จะมีความตื่นเต้น แต่เราก็เล่นได้ดี โดยยิงประตูได้ตั้งแต่นาทีแรกของการแข่งขัน ผู้เล่นในตำแหน่งหลังของเรามีการสับสนนิดหน่อยในการประกบตัว แต่ดีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นไม่สามารถทำเกมบุกขึ้นมาได้ จบครึ่งแรกพวกเรานำอยู่ 5-0 โค้ชติวเข้มกองหลัง และบอกให้ถ่ายบอลเยอะๆ พอครึ่งหลังพวกเราลงไปเล่นโดยเน้นที่การครองบอลมากกว่าจะยิงประตู แต่ก็ได้เพิ่มมา 3 ประตู จบเกมส์จุฬาฯชนะไป 8-0 หลังจบเกมพวกเราเดินไปจับไม้จับมือกับทีมขอนแก่น ทำความเคารพกรรมการ จากนั้นก็ดีใจกับชัยชนะนัดแรกกันยกใหญ่
            พวกเราได้พักหนึ่งวันหลังการแข่ง แต่ก็ไม่มีอะไรทำมาก อยากจะไปเชียร์กีฬาอื่นก็ไกลเกินไป จึงได้แต่นอนพัก แล้วออกไปหาอาหารอร่อยๆทานกัน บริเวณนั้นมีร้านอาหารอร่อยหลายร้าน โดยเฉพาะข้าวมันไก่ พวกเราถึงกับต้องกินทุกเช้าเกือบ 10 วันติดกัน ส่วนตอนเย็นก็จะมีเมี่ยงปลาเผา ส้มตำรสเด็ด ไอสครีม และอื่นอีกมากมายจนเลือกทานไม่หมดจริงๆ แต่เราก็มีอาหารเย็นกินฟรีอยู่แล้ว รสชาติพอใช้ได้ แต่มักมีอาหารแปลกๆที่ทานกันไม่ค่อยจะได้ ส่วนห้องพักนั้น นอนห้องละ 4 คน เตียงหนานุ่ม นอนสบายมาก
            นัดที่สอง แข่งวันที่ 19 มกราคม แดดกำลังร้อนได้ที่ ทีมจุฬาฯลงสนามด้วยชุดสีขาว กระโปรงดำ เจอกับ ทีมมหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งไม่ค่อยเก่งมากแต่ผู้เล่นมี 11 ตัวครบ เกมนี้ทีมเราก็เน้นจ่ายบอลไปมาแล้วค่อยๆบุกขึ้นไป เกมจึงไม่ได้สูสีเลย เพราะเราเป็นฝ่ายรุกเสียส่วนใหญ่ และมีแรงเชียร์จากทีมชายที่มานั่งเชียร์ติดขอบสนาม นอกจากจะเชียร์แล้วยังแซวจนอดขำไม่ได้ ในเกมนี้เราก็ได้สกอร์มาตามรูปเกมคือ จุฬาฯชนะ 7-0 แม้จะยิงไม่มากเท่านัดที่แล้ว แต่เราก็เข้ารอบเป็นที่1 ของกลุ่ม รอตัดเชือกรอบรองชนะเลิศกับผู้ชนะระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสถาบันพละศึกษา สองทีมนี้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับเรา ทีมเกษตรศาสตร์นั้น มีสนามฮอกกี้ในมหาวิทยาลัยและฝึกซ้อมทุกวัน ยังมีผู้เล่นหลายคนที่เคยเล่นให้ทีมชาติ ทั้งชุดใหญ่และชุดเยาวชน ส่วนทีมสถาบันพละศึกษานั้น เรียกได้ว่ารวมผู้เล่นมาจากสถาบันพละศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งผู้เล่นแต่ละตำแหน่งผ่านการคัดตัวมาแล้ว หลายคนติดทีมชาติชุดเอเชี่ยนเกมส์ เรียกได้ว่ารวมดาวดัง และชุดทีมชาติเกินครึ่งทีม
            ตามคาดเมื่อสถาบันพละศึกษาถล่มทีมเกษตรศาสตร์ไปถึง 4-0 ทำให้เราหนาวๆร้อนๆไม่น้อย และรอบรองชนะเลิศเราได้เจอกับทีมเกษตรศาสตร์ที่เป็นที่2ของอีกกลุ่มแน่นอนแล้ว วันแข่งขันเราตื่นเต้นมาก เพราะมันเป็นเกมที่ชี้ชะตาว่า พวกเราจะได้เข้าชิงชนะเลิศอย่างที่ตั้งเป้ากันไว้หรือไม่ วันแข่งแดดร้อนมาก จุฬาฯมาในชุดสีชมพูลายขาว กะโปรงสีกรม ถุงเท้าสีกรม เจอกับทีมเกษตรศาสตร์ในชุดสีแดงสด เมื่อเกมเริ่มขึ้น มันไม่ง่ายเลยสำหรับฝั่งจุฬาฯ เพราะเราโดนบุกอย่างหนัก แต่เราก็ช่วยกับอย่างเต็มที่ มีโอกาสบุกสวนกลับไปเป็นระยะๆ จนกระทั่ง จุฬาฯได้สโตก (เหมือนการได้จุดโทษในฟุตบอล) และยิงเข้าไป จบครึ่งแรกเรานำ 1-0 เป็นเกมที่บีบหัวใจมากเพราะเมื่อลงไปเล่นครึ่งหลังเกษตรพยายามทวงประตูคืนด้วยการบุกหนัก และเราขึ้นเกมไม่ได้เลย เกษตรยิงเฉียดประตูไปหลายต่อหลายครั้ง พวกเราหันไปมองนาฬิกาทุกๆนาที ดูเหมือนเวลาผ่านไปช้ามาก ในที่สุดก็หมดเวลา จุฬาฯชนะได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับสถาบันพละที่ชนะมาเหมือนกัน ท่ามกลางการใจหายใจคว่ำของโค้ช รุ่นพี่ ผู้ช่วยโค้ช กองเชียร์ และพวกเราเอง
            นัดชิงชนะเลิศเป็นเกมที่กดดันมาก พวกเราอยากได้เหรียญทองและจะทำให้ดีที่สุด ทีมจุฬาฯตกเป็นรองในเรื่องของตัวผู้เล่น ความฟิต และประสบการณ์ แต่ทุกคนก็พยายามเล่นอย่างเต็มที่ เราเสียประตูแรกเร็วมาก เพียงแค่ 5 นาทีแรกเท่านั้น จากนั้นเราก็เน้นรับอย่างเดียว เกมรุกของเราดูเงียบลง แต่ก็มีโอกาสได้ยิงนานๆครั้ง จบเกมเราโดนนำอยู่ 1-0 เป็นเกมที่หนักและเครียด ครึ่งหลังสถาบันพละบุกมากขึ้น เพราะเราทำเกมไม่ได้เลย และเราก็เสียสโตก แต่เขายิงไม่เข้า ทำให้เราใจชื้นขึ้นมา แต่ก็เพียงไม่นานเมื่อเราเสียประตูที่ 2 และ 3 แม้ว่าแน่นอนอยู่แล้วว่าโอกาสชนะมีน้อย แต่เราก็พยายามอย่างหนักที่จะทำประตูคืนมาสักประตู พวกเราสู้อย่างเต็มที่ เหนื่อยแทบขาดใจ ในที่สุดก็หมดเวลาและทีมจุฬาฯแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย ถึงแม้ว่าจะแพ้ แต่พวกเราก็ยอมรับในความจริงที่ว่า ทีมเขาเก่งกว่าเรา และเรายังต้องฝึกซ้อมอีกมาก แม้จะเสียน้ำตาแต่พวกเราให้สัญญาว่า ปีหน้าเราจะทำให้ดีกว่านี้ ถ้าคิดในแง่ดี ถือว่าเรามาไกลมาก เพราะทีมฮอกกี้จุฬา ไม่มีสนามซ้อมของตัวเอง ส่วนใหญ่เราใช้พื้นที่อันน้อยนิดของสนามเทนนิส คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาซ้อม ซึ่งต่างจากพื้นหญ้าที่ใช้แข่งอย่างมาก และถึงแม้ว่าเราจะขาดการสนับสนุนที่ดีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่เราก็มีรุ่นพี่ที่ดี มีโค้ชที่ยอดเยี่ยม มีความสามัคคีในทีม เป็นแรงผลักดันให้เรามาถึงจุดๆนี้ได้  อย่างน้อยทีมชายและทีมหญิงแม้ไม่ได้เหรียญทองแต่ก็ทำเหรียญเงิน และเหรียญทองแดงได้ให้จุฬาฯได้ การแข่งขันครั้งนี้ทำให้เรารู้ถึงคำว่า เจ้าภาพที่ดี การมีน้ำใจนักกีฬา การควบคุมอารมณ์ ความสามัคคีในทีม  สำหรับประสบการณ์ดีๆเช่นนี้ก็จะเก็บเอาไว้ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน

ประชากรโลก ในปัจจุบัน


นางสาวจิตพิสุทธิ์  จำนงค์จิตร  5237717139
 
 ประชากรโลก ในปัจจุบัน
อันดับ
ประเทศ/เขตปกครองพิเศษ
จำนวนประชากร
วันที่อัปเดต
ครั้งหลังสุด
 % ประชากรเทียบ
กับประชากรโลก
แหล่งอ้างอิง
6,924,400,000

100%
1
จีน
ไม่นับรวมเขตปกครองพิเศษ
1,345,380,000
12 กรกฎาคม 2011
19.43%
2
1,197,030,000
12 กรกฎาคม 2011
17.29%
3
312,618,000
12 กรกฎาคม 2011
4.51%
4
231,369,500

3.34%
ประมาณการสหประชาชาติ
5
195,083,000
12 กรกฎาคม 2011
2.82%
19
67,354,820
31 ธันวาคม 2010
0.97%

แหล่งอ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3

นันทนาการเทศกาลพิเศษ


นันทนาการเทศกาลพิเศษ
1.ประวัติความเป็นมา
    เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในเทศกาลพิเศษ ต้องมีการจัดเตรียมอาคารสถานที่เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนได้ร่วมกิจกรรม เช่น เทศกาลสงกรานต์ ลอยกระทง คริสต์มาส ตรุษจีน ปีใหม่ รวมทั้งกิจกรรมในวันพิเศษของบุคคลในครอบครัว เช่นวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน เป็นต้น
   
2. ลักษณะของกิจกรรม
    กิจกรรมนันทนาการพิเศษ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในโอกาสเทศกาลพิเศษ ต้องมีการจัดเตรียมอาคารสถานที่ เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มาร่วมกัน

3.ประเภทของกิจกรรมนันทนาการพิเศษ
·         วันกิจกรรมนันทนาการพิเศษ ในเทศกาลมหกรรมต่างๆ เช่นวันสงกรานต์ วันลอยกระทง และวันสถาปนาสถาบัน
·         นิทรรศการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ชุมชน เช่นงานอดิเรก การประกวดสิ่งประดิษฐ์ การประกวดสัตว์เลี้ยง
·         การแสดงบนเวที เช่นละคร ดนตรี และลิเก
·         การประกวดทักษะความสามารถ เช่น การจัดกระเช้าดอกไม้ การจัดสวนหย่อม การจัดตู้ปลาสวยงาม และการแข่งขันกีฬา
·         กิจกรรมเต้นรำ ลีลาศ ดนตรี ศิลปหัตถกรรม และกีฬาพื้นเมือง

4. คุณค่าของนันทนาการพิเศษ
1.      เป็นศูนย์กลางของชุมชน และเปิดโอกาสให้ชุมชนได้ทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
2.      ใช้เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ของชุมชน เพื่อก่อให้เกิดเจตคติที่ดีของชุมชน
3.      เป็นการทำงานร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเดียวกัน







5. วิธีการเข้าร่วมกิจกรรม
ประเภทวันสำคัญของไทย
1.)                 วันขึ้นปีใหม่
ความเป็นมา
            ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรกการจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์ ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป
เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1.
ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2.
เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3.
ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4.
เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย
กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1.
การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2.
การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3.
การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น
กิจกรรมที่ควรปฏิบัติ
  วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขวัญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย

2.)     วันสงกรานต์
                Description: C:\Users\Niwit\Desktop\picture_74255119262.jpgความเป็นมา
กำเนิดวันสงกรานต์ มีเรื่องเล่าสืบ ๆ กันมา น่าจดจำไว้ดังข้อความจารึกวัดเชตุพน ฯ ได้กล่าวไว้ประดับความรู้ของสาธุชนทั้งหลายดังต่อไปนี้
        “ ….
เมื่อต้นภัทรกัลป์ มีเศรษฐีคนหนึ่ง มั่งมีทรัพย์มาก แต่ไม่มีบุตร บ้านอยู่ใกล้นักเลงสุรา นักเลงสุรานั้นมีบุตร ๒ คน ผิวเนื้อดุจทอง วันหนึ่งนักเลงสุราเข้าไปในบ้านของเศรษฐี แล้วด่าเศรษฐี ด้วยถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ เศรษฐีได้ฟังจึงถามว่า พวกเจ้ามาพูดหยาบคายดูหมิ่นเราผู้เป็นเศรษฐีเพราะ เหตุใด พวกนักเลงสุราจึงตอบว่า ท่านมีสมบัติมากมายแต่หามีบุตรไม่ เมื่อท่านตายไปสมบัติก็จะ อันตรธานไปหมด หาประโยชน์อันใดมิได้ เพราะขาดทายาทผู้ปกครอง ข้าพเจ้ามีบุตรถึง ๒ คน และ รูปร่างงดงามเสียด้วย ข้าพเจ้าจึงดีกว่าท่าน เศรษฐีครั้นได้ฟังก็เห็นจริงด้วย จึงมีความละอายต่อนักเลง สุรายิ่งนัก จึงนึกใคร่อยากได้บุตรบ้าง จึงทำการบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อขอให้มีบุตร อยู่ถึง ๓ ปี ก็มิได้มีบุตรสมดังปรารถนา
        
เมื่อขอบุตรจากพระอาทิตย์และพระจันทรืมิได้ดังปรารถนาแล้วอยู่มาวันหนึ่งถึงฤดูคิมหันต์ จิตรมาส ( เดือน ๕ ) โลกสมมุติว่าเป็นวันมหาสงกรานต์ คือ พระอาทิตย์ยกจากราศีมีนประเวสสู่ราศีเมษ คนทั้งหลายพากันเล่นนักขัตฤกษ์เป็นการรื่นเริงขึ้นปีใหม่ทั่วชมพูทวีป ขณะนั้นเศรษฐีจึงพาข้าทาสบริวาร ไปยังต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำอันเป็นที่อยู่แห่งปักษีชาติทั้งหลาย เอาข้าวสารซาวน้ำ ๗ ครั้ง แล้วหุงบูชา รุกขพระไทรพร้อมด้วยสูปพยัญชนะอันประณีต และประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีต่าง ๆ ตั้งจิตอธิษฐาน ขอบุตรจากรุกขพระไทร รุกขพระไทรมีความกรุณา เหาะไปขอบุตรกับพระอินทร์ให้กับเศรษฐี
        
พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตร ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ บิดามารดาขนานนามว่า ธรรมบาลกุมาร แล้วจึงปลูกปราสาทขึ้น ให้กุมารอยู่ใต้ต้นไทรริมสระฝั่งแม่น้ำนั้น ครั้นกุมารเจริญขึ้น ก็รู้ภาษานกแล้วเรียนจบไตรเพทเมื่ออายุได้ ๘ ขวบ และได้เป็นอาจารย์บอกมงคลการต่าง ๆ แก่มนุษย์ ชาวชมพูทวีปทั้งปวงซึ่งขณะนั้นโลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหม และกบิลพรหมองค์หนึ่งได้แสดง มงคลการแก่มนุษย์ทั้งปวง
        
เมื่อกบิลพรหมแจ้งเหตุที่ธรรมกุมารเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของมนุษย์ชาวโลกทั้งหลาย จึงลงมาถามปัญหาแก่ธรรมกุมาร ๓ ข้อ ความว่า
        
๑) เวลาเช้า สิริคือราศีอยู่ที่ไหน
        
๒) เวลาเที่ยง สิริคือราศีอยู่ที่ไหน
        
๓) เวลาเย็น สิริราศีอยู่ที่ไหน
        
และสัญญาว่า ถ้าท่านแก้ปัญหา ๓ ข้อนี้ได้เราจะตัดศีรษะเราบูชาท่าน ถ้าท่านแก้ไม่ได้ เราจะตัดศีรษะของท่านเสีย ธรรมกุมารรับสัญญา แต่ผลัดแก้ปัญหาไป ๗ วัน กบิลพรหมก็กลับไปยัง พรหมโลก
        
ฝ่ายธรรมบาลกุมารพิจารณาปัญหานั้นล่วงไปได้ ๖ วันแล้วยังไม่เห็นอุบายที่จะตอบปัญหาได้ จึงคิดว่าพรุ่งนี้แล้วสิหนอ เราจะต้องตายด้วยอาญาของท้าวกบิลพรหม เราหาต้องการไม่ จำจะหนีไป ซุกซ่อนตนเสียดีกว่า คิดแล้วลงจากปราสาทเที่ยวไปนอนที่ต้นตาล ๒ ต้น ซึ่งมีนกอินทรี ๒ ตนผัวเมีย ทำรังอยู่บนต้นตาลนั้น
        
ขณะที่ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นตาลนั้น ได้ยินเสียงนางนกอินทรีถามผัวว่า พรุ่งนี้เรา จะไปหาอาหารที่ไหน นกอินทรีผู้ผัวตอบว่า พรุ่งนี้ครบ ๗ วันที่ท้าวกบิลพรหม ถามปัญหาแก่ธรรมบาล กุมาร แต่ธรรมบาลกุมารแก้ไม่ได้ ท้าวกบิลพรหมจะตัดศีรษะเสียตามสัญญา เราทั้ง ๒ จะได้กินเนื้อมนุษย์ คือ ธรรมบาลกุมารเป็นอาหาร นางนกอินทรีจึงถามว่าท่านรู้ปัญหาหรือ ? ผู้ผัวตอบว่ารู้แล้วก็เล่าให้นาง นกอินทรีฟังตั้งแต่ต้นจนปลายว่า
        
๑) เวลาเช้าราศีอยู่ที่ หน้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า
        
๒) เวลาเที่ยงราศีอยู่ที่ อก คนทั้งหลายจึงเอาน้ำและแป้งกระแจะจันทร์ลูบไล้ที่อก
        
๓) เวลาเย็นราศีอยู่ที่ เท้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า
        
ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นไม้ได้ยินการสนทนาของทั้งสองก็จำได้ จึงมีความโสมนัส ปีติยินดีเป็นอันมาก แล้วจึงกลับมาสู่ปราสาทของตน
        
ครั้นถึงวาระเป็นคำรบ ๗ ตามสัญญา ท้าวกบิลพรหมก็ลงมาถามปัญหาทั้ง ๓ข้อตามที่นัด หมายกันไว้ ธรรมบาลกุมารก็วิสัชนาแก้ปัญหาทั้ง ๓ ข้อตามที่ได้ฟังมาจากนกอินทรีนั้น ท้าวกบิลพรหม ยอมรับว่าถูกต้องและยอมแพ้แก่ธรรมบาลกุมาร และจำต้องตัดศีรษะของตนบูชาตามที่สัญญาไว้ แต่ก่อนที่ จะตัดศีรษะ ได้ตัดเรียกธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ คือ
        
๑. นางทุงษะเทวี
        
๒. นางรากษเทวี
        
๓. นางโคราคเทวี
        
๔. นางกิริณีเทวี
        
๕. นางมณฑาเทวี
        
๖. นางกิมิทาเทวี
        
๗. นางมโหธรเทวี
        
อันโลกสมมุติว่าเป็นองค์มหาสงกรานต์ กับทั้งเทพบรรษัทมาพร้อมกัน แล้วจึงบอกเรื่องราว ให้ทราบและตรัสว่าพระเศียรของเรานี้ ถ้าตั้งไว้บนแผ่นดินก็จะเกิดไฟไหม้ไปทั่วโลกธาตุ ถ้าจะโยนขึ้น ไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง เจ้าทั้ง ๗ จงเอาพานมารองรับเศียรของบิดาไว้เถิด ครั้นแล้วท้าวกบิลพรหม ก็ตัดพระเศียรแค่พระศอส่งให้นางทุงษะเทวีธิดาองค์ใหญ่ในขณะนั้น โลกธาตุก็เกิดโกลาหลอลเวงยิ่งนัก
        
เมื่อนางทุงษะมหาสงกรานต์เอาพานรองรับพระเศียรของท้าวกบิลพรหมแล้วก็ให้เทพบรรษัท แห่ประทักษิณ เวียนรอบเขาพระสุเมรุราช ๖๐ นาทีแล้วจึงเชิญเข้าประดิษฐานไว้ในมณฑป ณ ถ้ำคันธธุลี เขาไกรลาศ กระทำบูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ พระวิษณุกรรมเทพบุตรก็เนรมิตโลงแก้ว อันแล้วไปด้วย แก้ว ๗ ประการ ชื่อภัควดีให้เทพธิดาและนางฟ้าแล้ว เทพยดาทั้งหลายก็นำมาซึ่งเถาฉมุนาตลงล้างน้ำ ในสระอโนดาต ๗ ครั้ง แล้วแจกกันสังเวยทั่วทุกๆ พระองค์ ครั้นได้วาระกำหนดครบ ๓๖๕ วัน โลกสมมุติว่าปีหนึ่งเป็นวันสงกรานต์นางเทพธิดาทั้ง ๗ ก็ทรงเทพพาหนะต่างๆ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมา เชิญพระเศียรกบิลพรหมออกแห่พร้อมด้วยเทพบรรษัทแสนโกฏิ ประทักษิณเวียนรอบเขาพระสุเมรุ ราชบรรษัท ทุกๆ ปีแล้วกลับไปยังเทวโลก… ”
กิจกรรมที่ควรปฏิบัติ
Description: http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/songkran/act01.jpg  วันจ่ายสงกรานต์
ในวันจ่ายสงกรานต์ นอกจากเตรียมเครื่องเสื้อผ้าใหม่ๆ ไว้แต่ง เขายังทำขนมกวน สำหรับทำบุญถวายพระ และแจกชาวบ้าน ขนมนั้นโดยมากเป็นขนมเปียกข้าวเหนียวแดง และขนมกะละแมเป็นพื้น การแจกนอกจากจะเป็นเครื่องแสดงไมตรียังเป็นเรื่องอวดฝีมือด้วยว่าใครกวนขนมได้ดีกว่ากัน การทำขนมในวันนี้นั้น ถ้าบ้านไหนเจ้าบ้านเป็นผู้มั่งคั่งก็ต้องกวน ขนมอย่างนั้นกันเป็นจำนวนมาก จึงจะพอแจกจ่ายให้สมกับฐานะที่เขากวนในวันสงกรานต์ เพื่อแจกแก่ชาวบ้านเพื่อนบ้าน ก็เพราะ สมัยนั้นหาซื้อได้ยาก จึงต้องทำช่วยตัวเองคนแต่ก่อนไม่มีขนมมาขาย อยากกินก็ต้องทำกินเอง เหตุนี้ในวันสงกรานต์หรือว่าในงานอะไร จึงต้องกวนขนมกันเป็นงานใหญ่ สำหรับเลี้ยงพระ และแจกแก่ผู้ที่นับถือและเพื่อนบ้าน จึงได้มีการกวนขนมกันในเทศกาลสงกรานต์และตรุษสารท มีประเพณีสืบกันมาที่ชาวตะวันตกทำเค้กปีใหม่ไปให้กันหรือกำนัลใคร ที่เรานำแบบอย่าง ชาวตะวันตกมาเพราะสะดวก
  ทำบุญตักบาตร
สงกรานต์วันต้นหรือวันมหาสงกรานต์ ชาวบ้านลุกขึ้นแต่ไก่ขัน เพื่อเตรียม ไปตักบาตรถวายพระ พอหุงหาอาหารเสร็จ ก็จัดเตรียมอาหารและสิ่งของถวายพระ บรรจุลงภาชนะมีถ้วยโถโอชามอย่างดี แล้วแต่จะมี แล้วเอาวางเรียงลงในถาด หรือภาชนะอย่างอื่นๆ ที่นิยมในท้องถิ่น เพื่อนำไปทำบุญตักบาตรและเลี้ยงพระประจำหมู่บ้านของตนเรื่องการแต่งตัว จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มใหม่ ซึ่งเตรียมหาไว้ ก่อนหน้าวันสงกรานต์หลายวัน โดยเฉพาะหญิงสาวจะได้แต่งตัวให้สวยพริ้ง เพื่อไปอวดตามวิสัยของคนหนุ่มคนสาวที่รักสวยรักงาม และหญิงสาวพวกนี้ และที่เป็นคนยกเครื่องไทยธรรมของทำบุญ หลังจากตักบาตรเสร็จแล้ว มีเลี้ยงพระฉันเช้าที่ศาลาการเปรียญ โดยมัคนายกเป็นผู้จัดการเรื่องปูเสื่อสาดอาสนะ พอพระฉันเสร็จ ยถาสัพพีอนุโมทนาแล้ว ชาวบ้านก็กลับบ้านกันไป
Description: http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/songkran/act03.jpgDescription: http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/songkran/act02.jpg   ก่อพระเจดีย์ทราย
ไม่มีกำหนดแน่นอนว่าจะต้องก่อในวันสงกรานต์ ถึงวันอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับ สงกรานต์ ก็มีก่อกัน และไม่จำเป็นต้องก่อที่ในวัดบางแห่งที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ตอนเหนือๆ ก่อพระเจดีย์ทรายที่หาดทรายในแม่น้ำก็มี เช่น จังหวัดกำแพงเพชร ในวันก่อ เขามีทำบุญเลี้ยงพระที่หาดทรายด้วย เรียกกันว่า ก่อพระทรายนำไหล เสร็จแล้วก็มีเลี้ยงพระและเลี้ยงดูกันส่วนทางภาคอีสาน บางแห่งเขาทำบุญสงกรานต์เป็นสองระยะ ระยะแรกทำบุญตักบาตรกลางลานในวันตรุษ ระยะหลังทำบุญตักบาตรที่ลานบ้านในวันสงกรานต์ ทางอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีการทำบุญตักบาตรกลางบ้านเหมือนกัน คือเลี้ยงพระกันที่สองข้างถนน จึงเห็นได้ว่าการตักบาตรจะทำกันที่ไหนก็ได้ แล้วแต่สะดวกและนัดกัน ทางจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการก่อพระเจดีย์ทราย เป็นสองตอน ตอนที่หนึ่งก่อที่ลานวัดในวันตรุษ และอีกตอนหนึ่งก่อที่ลานบ้านในวันมหาสงกรานต์ การก่อพระเจดีย์ทรายที่กลางลานบ้านเขาก่อแต่องค์เดียวเป็นส่วนรวม จะขนาดเล็กขนาดใหญ่ก็แล้วแต่กำลังที่จะไปหาบขนเอาทรายมาได้มากน้อยเท่าไหร่สำหรับก่อ ทรายที่จะนำมาก่อนั้นเอามาจากลำห้วยลำธารหรือตามหาดทรายในแม่น้ำ แล้วแต่จะสะดวก การขนทรายก็ไม่ต้องจ้างใครที่ไหน พวกหนุ่มๆ สาวๆ และเด็กๆ นั่นแหละเป็นผู้โกยไปขนใส่กระบุงหาบคอนกันมาเวลาเย็น
   ปล่อยนกปล่อยปลา
เรื่องปล่อยนกปล่อยปลานั้น ที่ทำกันมากคือปล่อยปลา เพราะในกรุงเทพฯ ถ้ามีเงินก็หาซื้อเอาไปปล่อยได้สะดวก ปลาที่ปล่อยโดยมากเป็นปลาชนิดที่เขาไม่กินกัน เพราะเป็นลูกปลาตัวเล็กๆ จับเอามามากๆ ได้สะดวกเพราะ มันตกคลักจับเอามาได้ก็รวมเอามาขายส่ง โดยมากเป็นลูกปลาหมอ เพราะมันอดทน ไม่ตายง่ายเหมือนปลาชนิดอื่น

การแห่ปลา
พวกผู้ชายจะไม่แห่ปลาในตำบลของตน แต่มีประเพณีว่า ชายตำบลนี้ต้องเข้าร่วมแห่ปลาตำบลโน้นเพื่อเชื่อมสามัคคีกัน เรื่องปล่อยนกปล่อยปลา ที่มักทำกันในวันสงกรานต์ เพราะก่อนหน้าวันสงกรานต์เป็นหน้าแล้งอากาศร้อนจัดน้ำแห้งขอดขาดตอนเป็นห้วงๆ คงเหลือแต่ที่มีแอ่งและหนองน้ำ ปลาก็ตกคลัก อีกไม่ช้าพอน้ำแห้งหมด ปลาเหล่านั้นก็จะต้องตาย ชาวบ้านจึงพากันไปจับปลาที่ตกคลัก ถ้าเป็นลูกปลาจะกินไม่ได้เนื้อได้หนังอะไรก็เลี้ยงไว้ในตุ่มเอาบุญ แล้วนำไปปล่อยในวันสงกรานต์ จึงเกิดเป็นประเพณีปล่อยปลา และลามมาถึงปล่อยนกด้วย
   บังสุกุลอิฐ
นอกจากปล่อยนกปล่อยปลาในวันสงกรานต์แล้ว ยังมีประเพณีบังสุกุลอัฐญาติ ผู้ใหญ่ การบังสุกุลนั้นทำแต่ครั้งเดียวจะทำในวันสงกรานต์วันไหนแล้วแต่จะสมัครใจและนัดหมายกัน โดยมากทำในวันสรงน้ำพระ หรือไม่ก็ทำกันใน วันท้ายวันสงกรานต์ ถ้าจะทำกันในวันแรกของสงกรานต์ เมื่อพระฉันเพลแล้ว ให้เสร็จธุระกันไปก็ได้ ตามประเพณีแต่ก่อนเขาไม่เอาอัฐิเข้าบ้าน ถ้าเป็นชาวบ้านมักฝังญาติผู้ใหญ่ไว้ใต้โคนต้นโพในวัด ฝังไส้ตรงเหลี่ยมไหนรากไหนของต้นโพเขาจำเอาไว้ และนิมนต์พระไปบังสุกุลที่ตรงนั้น เรื่องบังสุกุลอัฐิในวันสงกรานต์ ถ้าว่าถึงประเพณีชาวฮินดูก็ไม่มี เพราะเมื่อเขาเผาศพแล้ว ตามปกติก็ทิ้งอัฐิ
และเถ้าถ่านลงในแม่น้ำ โดยเฉพะแม่น้ำคงคา เพราะฉะนั้นเรื่องบังสุกุลอัฐิก็คงเป็นประเพณีเดิมของเรา
ไม่ใช่ได้มาจากอินเดีย ในท้องถิ่นเราบางแห่ง เมื่อถึงวันสงกรานต์ เขามีพิธีบวงสรวงผีปู่ย่าตายาย ประจำหมู่บ้าน ซึ่งทางภาคอีสานเรียกว่า ผีปู่ตา และภาคพายัพเรียกว่า ผีปู่ย่า ภาคปักษ์ใต้เรียกว่า ผีตายาย และผีประจำเมืองคือผีหลักเมือง และ ผีเสื้อเมืองด้วย ทางภาคกลางมีประเพณีอันเนื่องด้วยสงกรานต์อีกอย่างหนึ่งคือ ห้ามตักน้ำตำ ข้าวเก็บผักหักฟืน อันเป็นงานประจำวันครัวเรือนและเป็นงานอยู่ในหน้าที่ของผู้หญิง จะต้องเตรียมหาสำรองเอาไว้ให้พร้อม ก่อนถึงวันสงกรานต์ จะได้ไม่กังวล
Description: http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/songkran/act04.jpg    สรงน้ำ รดน้ำ และสาดน้ำ
การสรงน้ำพระพุทธรูป มีดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชา แล้วเอาน้ำอบไปประพรมที่องค์พระ ทำเป็นสังเขปพอเป็นพิธีว่าได้แสดงความเคารพบูชาและสรงน้ำท่านในวันขึ้นปีใหม่แล้ว เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปมา ก็มีการแห่แหนกันอย่างสนุกสนาน สรงน้ำพระพุทธรูปแล้วก็มีการสรงน้ำพระสงฆ์ โดยมากมักเป็นสมภารเจ้าวัดเป็นการสรงน้ำจริงๆ สรงเสร็จครองไตรจีวรใหม่ที่อุบาสกอุบาสิกานำมาถวาย ท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์อำนวยพรปีใหม่ให้แก่ผู้ที่ไปสรงน้ำ นอกจากนี้ยังมีการ รดน้ำญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ เพื่อขอศีลขอพรตามประเพณี
สรงน้ำพระเสร็จแล้ว ก็ชวนกันเล่นสนุก สาดน้ำ และเลี้ยงกันที่ลานวัด ของที่เลี้ยงมีขนมปลากริมไข่เต่า และลูกแมงลักน้ำกะทิ ซึ่งชาวบ้านเรี่ยไรออกเงิน และจัดทำเอามาเลี้ยงกันด้วยความสามัคคี เหตุที่มีการสรงน้ำ รดน้ำ และสาดน้ำในวันสงกรานต์ เนื่องมาจากความเชื่อ ที่ว่าการสาดน้ำ จะช่วยให้ฝนฟ้าตกบริบูรณ์ประการหนึ่ง น้ำเป็นเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ เมื่อมีน้ำการเพาะปลูก ทำไร่ไถนาก็ได้ผล ประการหนึ่ง และถือกันว่าน้ำเป็นเครื่องชำระมลทินให้สะอาดอีกประการหนึ่ง เหตุนี้น้ำจึงเป็นสิ่งที่ใช้ในพิธีต่างๆ อาบน้ำ ซัดน้ำ หรือรดน้ำ เมื่อทำพิธีสมรส อาบน้ำเมื่อตาย อาบน้ำเมื่อโกนจุก หรือบวชนาค ฯลฯ
Description: http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/songkran/act05.jpg    รดน้ำดำหัว
เครื่องดำหัวของภาคพายัพ ที่เขานำไปรดน้ำผู้ใหญ่ในวันพญาวัน นอกจากดอกไม้ธูปเทียนและผ้าใหม่สำหรับผลัด เขายังมีหมากพลูไปด้วย เพราะหมากพลูเป็นเครื่องแสดงความเคารพนับถือ และเป็นเครื่องแสดงไมตรีจิตด้วยอีกโสดหนึ่งและยังมีน้ำส้มป่อยและน้ำอบ น้ำส้มป่อยเป็นของใช้แทนสบู่ที่เมื่อก่อนยังไม่มีสิ่งนี้ สำหรับสระผมและชำระร่างกาย ผู้ใหญ่เมื่อรับเครื่องดำหัวแล้ว ก็เอาน้ำส้มป่อยและน้ำอบประพรมบนศีรษะพอเป็นกิริยา ว่าได้ดำน้ำสระหัวแล้ว ต่อจากนั้นก็ให้ศีลให้พร กันตามประเพณี อนึ่งในวันนี้บางคนยังนำเสื้อผ้าของเขาสำรับหนึ่ง ต่างคนเอาบรรจุลงขันของตน พร้อมด้วยเครื่องบริขาร มีกล้วย มีอ้อย มีใบขนุน มีใบแก้วเป็นต้น นำไปตั้งที่ลานวัดภายในมณฑลวงด้ายสายสิญจน์ แล้วพระสงฆ์ จะประพรมเสื้อผ้าเหล่านั้นด้วยน้ำมนต์ เพื่อความบริสุทธิ์ของเสื้อผ้าเพื่อใช้ในปีใหม่ เสร็จแล้วนำกลับมาเก็บไว้อย่างนั้นหลายๆ วัน

3.)วันแม่แห่งชาติ
Description: C:\Users\Niwit\Desktop\500805_World_meditation_queen_sirikit.jpg   ความเป็นมา
วันแม่แห่งชาติหรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า "วันแม่" ทุกคนรับทราบและ ซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ ตรงกับวัน เฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือวันที่ ๑๒ สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่แห่งชาติด้วยแต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาวันที่ ๑๕ เมษายน ของทุกๆ ปีทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี ประกาศรับรอง เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดีด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงาน ให้กว้างออกไปได้ การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ ประกวดคำขัวญวันแม่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกียรติแก่แม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของงานวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้น ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาล ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม (สมัยนั้น) แต่ทั่วไปเรียกกันว่า วันแม่ของชาติต่อมาถึง พ.ศ. ๒๕๑๙ ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นต้นมา จากหนังสือของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ชื่อแม่หลวงของปวงชน พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ มีข้อความตอนหนึ่งเทิดพรเกียรติไว้ว่า
"
แม่ที่ดีย่อมรู้จักส่งเสริมธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เพราะแม่ทราบดีว่าถ้าขาดสิ่งเหล่านี้แล้ว ความเป็นไทยที่แท้จริงจะมิปรากฏอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
แม่ที่ดีย่อมประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามระบอบของการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยรักเคารพและเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เหนือสิ่งอื่นใด หญิงไทยทุกคน ย่อมจะมีคุณลักษณะต่างๆ ของแม่ที่ดีดังกล่าวข้างต้นนี้อยู่แล้วจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการศึกษาและการฝึกหัดอบรม แต่จะหาหญิงใดที่มีคุณลักษณะครบถ้วนทุกประการเสมอเหมือน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นั้นไม่ง่ายนัก ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเทิดทูนพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่าทรงเป็นแม่หลวงของปวงชน ผู้ทรงเป็นศรีสง่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของบ้านเมืองและของปวงชนชาวไทยทั้งมวล"ดังกล่าวนี้เป็นเรื่องของวันแม่ของชาติตามเหตุผลของทาง
กิจกรรมที่ควรปฏิบัติ
 1.ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน
 2. จัดกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับวันแม่ เช่น การจัดนิทรรศการ  
 3.
จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่
 4. นำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่

4.)วันลอยกระทง
    ความเป็นมา
ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน  ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า  ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศที่ว่า
    "
ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษตรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย..."  เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารคทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Description: ลอยกระทงประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า "เรือลอยประทีป" ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย

Description: ลอยกระทงประเพณีลอยกระทงในแต่ละภาค ลักษณะการจัดงานลอยกระทงของแต่ละจังหวัด และแต่ละภาคจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันคือ
     ภาคเหนือ (ตอนบน) จะเรียกประเพณีลอยกระทงว่า "ยี่เป็ง" อันหมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่  (เดือนยี่ถ้านับตามล้านนาจะตรงกับเดือนสิบสองในแบบไทย) โดยชาวเหนือจะนิยมประดิษฐ์โคมลอย หรือที่เรียกว่า "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" โดยการใช้ผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ ให้โคมลอยขึ้นไปในอากาศ เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุตต์ ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า

Description: ลอยกระทง
Description: ลอยกระทง
จังหวัดตาก จะประดิษฐ์กระทงขนาดเล็ก แล้วปล่อยลอยไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เรียงรายเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
 


Description: ลอยกระทง       จังหวัดสุโขทัย เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องประเพณีลอยกระทง ด้วยความเป็นจังหวัดต้นกำเนิดของประเพณีนี้ โดยการจัดงาน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ที่จังหวัดสุโขทัยถูกฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2520 ซึ่งจำลองบรรยากาศงานมาจากงานลอยกระทงสมัยกรุงสุโขทัย และหลังจากนั้นก็มีการจัดงานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟขึ้นที่จังหวัดสุโขทัยทุก ๆ ปี มีทั้งการจัดขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล และไฟพะเนียง
Description: ลอยกระทง

         
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ งานลอยกระทงจะเรียกว่า เทศกาลไหลเรือไฟ โดยจัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ทุกปีในจังหวัดนครพนม มีการนำหยวกกล้วย หรือวัสดุต่าง ๆ มาตกแต่งเรือ และประดับไฟอย่างสวยงาม และตอนกลางคืนจะมีการจุดไฟปล่อยกระทงให้ไหลไปตามลำน้ำโขง
Description: ลอยกระทง

         
กรุงเทพมหานคร มีการจัดงานลอยกระทงหลายแห่ง แต่ที่เป็นไฮไลท์อยู่ที่ "งานภูเขาทอง" ที่จะเนรมิตงานวัดเพื่อเฉลิมฉลองประเพณีลอยกระทง ส่วนใหญ่จัดอยู่ราว 7-10 วัน ตั้งแต่ก่อนวันลอยกระทง จนถึงหลังวันลอยกระทง
       ภาคใต้ มีการจัดงานลอยกระทงในหลาย ๆ จังหวัด เช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่มีงานยิ่งใหญ่ทุกปี
กิจกรรมในวันลอยกระทง
ในปัจจุบันมีการจัดงานลอยกระทงทุก ๆ จังหวัด ซึ่งจะมีกิจกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ แต่กิจกรรมที่มีเหมือน ๆ กันก็คือ การประดิษฐ์กระทง โดยนำวัสดุต่าง ๆ ทั้งหยวกกล้วย ใบตอง หรือจะเป็นDescription: ลอยกระทงกาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว ฯลฯ มาประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องสักการบูชา ให้เป็นกระทงที่สวยงาม ภายหลังมีการใช้วัสดุโฟมที่สามารถประดิษฐ์กระทงได้ง่าย แต่จะทำให้เกิดขยะที่ย่อยสลายยากขึ้น จึงมีการรณรงค์ให้เลิกใช้กระทงโฟมเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ก่อนจะมีการดัดแปลงวัสดุทำกระทงให้Description: ลอยกระทงหลากหลายขึ้น เช่น กระทงขนมปัง กระทงกระดาษ กระทงพลาสติกชนิดพิเศษ เพื่อให้ย่อยสลายง่ายและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อไปถึงสถานที่ลอยกระทง ก่อนทำการลอยก็จะอธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนาขอให้ประสบความสำเร็จ หรือเสี่ยงทายในสิ่งต่าง ๆ จากนั้นจึงปล่อยกระทงให้ลอยไปตามสายน้ำ และในDescription: ลอยกระทงกระทงมักนิยมใส่เงินลงไปด้วย เพราะเชื่อกันว่าเป็นการบูชาพระแม่คงคา  นอกจากการลอยกระทงแล้ว มักมีกิจกรรมประกวดนางนพมาศอันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเพณีลอยกระทง และตามสถานที่จัดงานจะมีการประกวดกระทง ขบวนแห่ มหรสพสมโภชต่าง ๆ บางแห่งอาจมีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองด้วย

5.)วันพ่อแห่งชาติ
Description: C:\Users\Niwit\Desktop\untitled.bmp
   ความเป็นมา
วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์  นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา หลักการและเหตุผลที่มีการจัดตั้งวันพ่อขึ้นแห่งชาติ เนื่องจากพ่อ เป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะ เคารพเทิดทูนและตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็น วันพ่อแห่งชาติเพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะพ่อแห่งชาติซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ ทรงเป็น พ่อตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา อีกทั้งยังทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงขจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็นพ่อแห่งชาติที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้ วัฒนาถาวรสืบไป
    กิจกรรมในวันพ่อ
1. ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน
2. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญประโยชน์หรือทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศส่วนกุศลและระลึกถึงพระคุณพ่อ
3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมยกย่องผู้ที่ สมควร ได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อ ตัวอย่าง

6.) วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ
Description: C:\Users\Niwit\Desktop\d1012_2.jpg
ความสำคัญของวันรัฐธรรมนูญ
              วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้เสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ณ พระที่นั่ง อนันตสมาคม ซึ่งโปรดเกล้าให้จัดเป็นที่ประชุมรัฐสภาได้ทรงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศจึงได้ถือเป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติ เพื่อระลึกถึงวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระราชทาน รัฐธรรมนูญ "ฉบับแรกอันเป็นฉบับถาวร" ให้แก่ปวงชนชาวไทย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งมีพระราชดำรัสในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญดังนี้ "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร" ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตย โดยผู้ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งนั้นคือ คณะราษฎร์ 
     กิจกรรมในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ
คือ มีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลฉลอง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมทุกปีสืบมา งานนี้เป็นงานพระราชพิธีและรัฐพิธีร่วมกัน และมีพิธีการวางพวงมาลาถวายสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และจะมีการประดับธงชาติบริเวณอาคารบ้านเรือน

ประเภทวันสำคัญของที่นิยมทั่วโลก

1.)                25 ธันวาคม วันคริสต์มาส
Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/shutterstock_63792481.jpg
          ความเป็นมา
เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร  เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม
กิจกรรมในวันคริสต์มาส
   ชาวคริสต์มีวิธีการเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่หลากหลาย  ซึ่งในปัจจุบันนี้นอกจากวันนี้จะเป็นหนึ่งในวันสำคัญแล้ว ยังเป็นวันหนึ่งที่คนนิยมไปโบสถ์เพื่อแสดงความศรัทธาและประกอบพิธีกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ก่อนหน้าวันคริสต์มาส โบสถ์ออโทด๊อกซ์ตะวันออกจะฝึกฝนตนเองเรียกว่า พิธีกรรม Nativity Fast (เป็นการฝึกฝนการบังคับใจตนเองและการสำนึกบาป)เพื่อรอคอยเวลาประสูติของพระเยซู ส่วนโบสถ์ชาวตะวันตก จะเฉลิมฉลองการปรากฎตัวของพระเยซูผู้คนจะตกแต่งบ้านเรือนและแลกเปลี่ยนของขวัญกัน และในศาสนาคริสต์บางนิกาย ก็จะมีเด็กๆ ทำการแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูหรือร้องเพลงประสานเสียงกันบ้างก็จัดแสดงเรื่องราวการประสูติออกเป็นฉาก ๆ ในบ้านของพวกเขา โดยจะใช้พวกรูปปั้นแกะสลักมาแสดงเป็นบุคคลต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการแสดงละครโดยใช้นักแสดง สัตว์ หรือภาพวาดเพื่อความสมจริงมากขึ้น การสรรสร้างผลงานศิลปะที่บรรยายถึงฉากการประสูติของพระเยซูนี้
เป็นประเพณีที่ทำสืบต่อกันมายาวนานแล้ว

Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/christmas7.jpgองค์ประกอบในงานคริสต์มาส

  
ซานตาครอส
Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/christmas6.jpg   เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี  นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

 
ถุงเท้า
จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง





Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/christmas5.jpg ต้นคริสต์มาส
     นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

         
ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

 
ต้นฮอลลี่
Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/christmas1.jpgต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์
 
ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia
Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/christmas11.jpg        ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส

Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/christmas8.jpg เพลงวันคริสต์มาส
      เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่
      เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night
      
ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

 คำอวยพรวันคริสต์มาส
    
ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป


 สีประจำวันคริสต์มาส

สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย
สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี
สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง
สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส
สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว

 
การทำมิสซาเที่ยงคืน
   การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส

 
เทียนและพวงมาลัย
   พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้

 
ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข

Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/christmas9.jpg ดาว
     ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/christmas5_1.jpg เครื่องประดับและแอปเปิ้ล
    
ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ


ของขวัญวันคริสต์มาส

Description: http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/christmas2.jpg    การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

         
ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์
hilight.kapook.com/view/18771







เพลง   :
ingle Bell
Dashing through the snow
On a one-horse open sleigh,
Over the fields we go,
Laughing all the way;
Bells on bob-tail ring,
making spirits bright,
What fun it is to ride and sing
A sleighing song tonight
Jingle bells, jingle bells,
jingle all the way!
O what fun it is to ride
In a one-horse open sleigh

A day or two ago,
I thought I'd take a ride,
And soon Miss Fanny Bright
Was seated by my side;
The horse was lean and lank;
Misfortune seemed his lot;
He got into a drifted bank,
And we, we got upsot.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.

A day or two ago,
the story I must tell
I went out on the snow
And on my back I fell;
A gent was riding by
In a one-horse open sleigh,
He laughed as there
I sprawling lie,
But quickly drove away.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.

Now the ground is white
Go it while you're young,
Take the girls tonight
And sing this sleighing song;
Just get a bob-tailed bay
two-forty as his speed
Hitch him to an open sleigh
And crack! you'll take the lead.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.
                     
2.)    วันวาเลนไทน์
ความเป็นมา
Description: http://www.thaigoodview.com/files/u23680/796155_69221215_0.jpgกำเนิดวันวาเลนไทน์ เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุด เพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโน่ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศและการแต่งงาน และในวันถัดมา คือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มีขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่งของชายหนุ่มก็คือ การจับฉลาก ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเริ่มต้นเทศกาลลูเพอร์คาร์เลีย ชื่อของเด็กสาวจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษและใส่ลงในไห ชายหนุ่มแต่ละคนจะจับฉลากเพื่อเลือกคู่ในเทศกาลเฉลิมฉลองนี้ บ่อยครั้งที่หนุ่มสาวต่างถูกใจกัน และแต่งงานกันในเวลาต่อมา
          ในรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 แห่งโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้าย และทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในกองทัพ เนื่องมาจาก ไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโองการสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะนั้นเอง พระรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ซึ่งอาศัยอยู่ในโทรม ได้ร่วมมือกับเซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีของท่านนี้เอง จึงทำให้ท่านถูกตัดสินประหารชีวิตโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.270 ซึ่งตรงกับเทศกาลลูเพอร์คาร์เลีย ตามประเพณีโบราณพอดี ณ โอกาสนี้เอง กลุ่มคนนอกศาสนาได้รื้อฟื้นประเพณีจับฉลากขึ้นมาใหม่ โดยชายหนุ่มจะเป็นผู้เขียนชื่อหญิงสาวลงไปด้วยตัวเอง ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก และดูเหมือนว่ายังคงเป็นธรรมเนียม ที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
Description: http://www.thaisara.com/news/screen/photo/2009-01-19/cd9d4fc986d9acb3701fea6f405427b7.jpeg     กิจกรรมวันวาเลนไทน์
- ดอกไม้ ให้ความหมายของการบอกรักได้ดีที่สุด ที่ฮิตสุดเห็นจะเป็น
-
กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ
-
กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดง
-
กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด
Description: http://i232.photobucket.com/albums/ee274/akapong99/album10/11758497.jpg- กุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข
-
กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย
-
กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น
-
สําหรับคนที่อยากได้อะไรแตกต่างยังมีดอกอื่นๆ อาทิ
-
ดอกคาร์เนชั่นสีแดง หมายถึง รักอย่างสุดซึ้ง,
-
ดอกลิลลี่สีขาว หมายถึง ความโรแมนติก อ่อนหวานระหว่างคุณและคนรัก,
-
ดอกทิวลิปสีแแดง หมายถึง ความรักที่จะร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน
และ
-
ดอกไวโอเล็ต ที่แทนความหมายของการให้รักตอบแทน
ช็อกโกแลต นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า ช็อกโกแลตเป็นตัวช่วยเสริมอารมณ์รัก และรสชาติความหวานก็เป็นสิ่งที่แทนความรู้สึกวันแห่งความรักได้อย่างดี และยังมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าในช็อกโกแลตมีสารช่วยกระตุ้นสมองโดยออกฤทธิ์คล้าย แอมเฟตามีน เป็นตัวเบิกทางความรู้สึกลึกๆแห่งรักได้ดี
การ์ด อันนี้เป็นของจําเป็นควบคู่ไปกับดอกไม้ และช็อกโกแลต เลือกตามแบบที่ชอบ เขียนความในใจตามแบบที่อยากให้คนที่ได้รับอ่านแล้วเข้าใจในทันที แถมหาซื้อไม่ยากด้วย
ตุ๊กตา เป็นสิ่งที่ให้กันได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่พิเศษสําหรับวันแห่งความรักคงต้องเลือกสรรให้น่ารัก น่าประทับใจแทนความหมายได้ทุกอารมณ์แล้วแต่คุณจะหยิบแบบไหน
เทียนหอม มาแรงในหมู่หนุ่มสาวชาวไทย ที่สื่อได้ทั้งความหมายจากรูปทรงหัวใจ และให้กลิ่นหอมชวนหลงใหลตามแต่ใครจะเลือกได้ถูกใจอีกฝ่ายแค่ไหน
มื้อค่ำ ขาดไม่ได้เลยสำหรับมื้อพิเศษในวันแห่งความรัก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แบบไหน ในบ้าน ร้านอาหาร หรือริมทะเล แต่ขอให้มีแต่คุณและคนรักไปกันสองคนก็แล้วกัน
                                                                                                                                   
http://www.jabchai.com/main/view_joke.php?id=1040